ผู้ที่รู้จักโลกดีทั้งสองด้าน
คนที่รู้จักโลกดีแล้วนั้น ย่อมบูชาความสำราญทางธรรมหรือการฝ่ายใจอันแท้จริงเป็นสำคัญ และถือเอาส่วนกาย หรือวัตถุ เป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวก ในฐานะเป็นคนรับใช้ สำหรับคอยรับใช้ในการแสวงหาความสำราญในฝ่ายจิตเท่านั้น
ผู้ที่รู้จักโลกดีทั้งสองด้าน ย่อมมีอุดมคติว่า...กายอยู่ในใจ... คือแล้วแต่ใจ กายเป็นของนิดเดียว
และยังจำต้องอาศัยใจ ซึ่งทรงอำนาจสิทธ์ขาด ทั้งมีคุณภาพที่สูงสุดอยู่ทุก ๆ ประการ และทุก ๆ เวลา
แสวงหาอาหารให้ดวงใจดีกว่า ความเจริญงอกงามทางฝ่ายใจนั้น ยังไปได้ไกล อีกมากมายนัก กว่าจะถึงพระนิพพานเมื่อไรนั่นแหละจึงจะหมดขีดขึ้นของทางไป และเมื่อลุถึงแล้ว ก็ยังเป็นอุดมสันติสุข อยู่ตลอดอนันตกาลอีกด้วย
ไม่มีใครเคยทำให้เกิดความอิ่มความพอ ในเรื่องทางโลกีย์วิสัยได้เลย แม้ในอดีต ในปัจจุบัน และอนาคต เพราะว่าทางฝ่ายนี้ต้องการ ...ความไม่รู้จักพอ... นั้นเอง เป็นเชื้อเพลงอันสำคัญแห่งความสำราญ ถ้าพอเสียเมื่อใด ก็หมดความสำราญ ใครจะขวนขวายอย่างไร ก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่า ...การสยบซบซึมอยู่ท่ามกลางกองเพลิงแห่งการถูกปลุกเร้าของตัณหา... ซึ่งเมื่อใดม่อยหรี่ลง ก็จำต้องหาเชื้อเพลิง มาเพิ่มให้ใหม่อีก และไม่มีเวลาที่จะรู้จักอิ่มรู้จักพอ
การแสวงหาอาหารทางฝ่ายใจ เพื่อดวงใจนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า น่าทำกว่า เป็นศิลปะกว่า เป็นอุดมคติที่สูงกว่า ทำยากหรือน่าสรรเสริญกว่า หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ กว่าการแสวงหาทางกาย เพื่อกายโดยทุก ๆ ปริยาย
ที่มา ท่านพุทธทาสภิกขุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น