12 ธันวาคม 2554

ผู้ที่รู้จักโลกดีทั้งสองด้าน

ผู้ที่รู้จักโลกดีทั้งสองด้าน

 


      คนที่รู้จักโลกดีแล้วนั้น   ย่อมบูชาความสำราญทางธรรมหรือการฝ่ายใจอันแท้จริงเป็นสำคัญ และถือเอาส่วนกาย หรือวัตถุ   เป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวก ในฐานะเป็นคนรับใช้  สำหรับคอยรับใช้ในการแสวงหาความสำราญในฝ่ายจิตเท่านั้น

         ผู้ที่รู้จักโลกดีทั้งสองด้าน  ย่อมมีอุดมคติว่า...กายอยู่ในใจ... คือแล้วแต่ใจ กายเป็นของนิดเดียว
และยังจำต้องอาศัยใจ ซึ่งทรงอำนาจสิทธ์ขาด  ทั้งมีคุณภาพที่สูงสุดอยู่ทุก ๆ ประการ และทุก ๆ เวลา
แสวงหาอาหารให้ดวงใจดีกว่า  ความเจริญงอกงามทางฝ่ายใจนั้น ยังไปได้ไกล อีกมากมายนัก  กว่าจะถึงพระนิพพานเมื่อไรนั่นแหละจึงจะหมดขีดขึ้นของทางไป  และเมื่อลุถึงแล้ว ก็ยังเป็นอุดมสันติสุข อยู่ตลอดอนันตกาลอีกด้วย

         ไม่มีใครเคยทำให้เกิดความอิ่มความพอ  ในเรื่องทางโลกีย์วิสัยได้เลย   แม้ในอดีต ในปัจจุบัน และอนาคต  เพราะว่าทางฝ่ายนี้ต้องการ ...ความไม่รู้จักพอ... นั้นเอง  เป็นเชื้อเพลงอันสำคัญแห่งความสำราญ  ถ้าพอเสียเมื่อใด ก็หมดความสำราญ  ใครจะขวนขวายอย่างไร ก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่า  ...การสยบซบซึมอยู่ท่ามกลางกองเพลิงแห่งการถูกปลุกเร้าของตัณหา...  ซึ่งเมื่อใดม่อยหรี่ลง ก็จำต้องหาเชื้อเพลิง มาเพิ่มให้ใหม่อีก  และไม่มีเวลาที่จะรู้จักอิ่มรู้จักพอ

        การแสวงหาอาหารทางฝ่ายใจ  เพื่อดวงใจนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า น่าทำกว่า เป็นศิลปะกว่า  เป็นอุดมคติที่สูงกว่า ทำยากหรือน่าสรรเสริญกว่า  หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ   กว่าการแสวงหาทางกาย เพื่อกายโดยทุก ๆ ปริยาย

ที่มา  ท่านพุทธทาสภิกขุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น