18 มีนาคม 2555

ก้าวสู่ความสำเร็จในการทำงานตามแนวพุทธ

ก้าวสู่ความสำเร็จในการทำงานตามแนวพุทธ


 

          นอกจากเราจะใช้สติปัญญาในการทำงาน เพื่อแก้ปัญหาและหาหนทางเจริญก้าวหน้าอยู่นั้น มีทฤษฎีมากมายที่หวังให้เราปฏิบัติตาม ลองย้อนกลับมาใช้ธรรมะง่ายๆ ที่ให้คุณประสบความสำเร็จในการทำงานสูงสุด

         ธรรมะที่เราควรจะหยิบยกมาใช้ในการทำงานทุกวันนี้ คงหนีไม่พ้นอิทธิบาท 4 เพราะความหมายของอิทธิบาท 4 คือธรรมให้ถึงความสำเร็จ หรือหนทางแห่งความสำเร็จนั่นเอง โดยหลักอิทธิบาท 4 นั้นเป็นหลักธรรมสำคัญที่ทำให้เกิดสมาธิในการทำงาน ไม่ฟุ้งซ่านไปกับสังคมและกระแสต่างๆ พร้อมทั้งตีกรอบให้เราทำงานอย่างคงเส้นคงวาอีกด้วย

      ฉันทะ = ฉันพอใจกับงานที่ทำอยู่  
     มีใครบ้างไหมไม่ชอบงานที่ทำอยู่ ให้คุณลองตรวจสอบตัวเองดูว่า คุณนั้นมีความชอบหรือศรัทธากับงานแบบใด หรือพอใจกับงานแบบใดอยู่ เหมือนกับคุณเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่กำลังใช้ความคิดใตร่ตรองว่าคุณต้อง การเดินไปเส้นทางใด เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครให้คำตอบคุณได้เพราะเป็นความชอบความศรัทธาที่ก่อเกิด จากตัวของคุณเอง

        จริงอยู่ที่งานแต่ละอย่างไม่มีทางที่คุณ จะชื่นชอบไปทั้งหมดทุกกระบวนการ แต่ถ้าคุณพอใจที่จะทำให้ดี สบายใจที่จะต้องเจอมันทุกวันเราเรียกว่าความศรัทธา เป็นสิ่งแรกที่มนุษย์ต้องการและเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ อย่างเช่น คุณมีความศรัทธาและใจรักที่จะเป็นพนักงานขายที่ดีและซื่อสัตย์ สิ่งนี้จะเป็นพลังให้คุณเดินไปหาความสำเร็จได้แบบเป็นเส้นตรง และเข้าถึงจิตใจเนื้อแท้ในการทำงานมากกว่าคนที่ไม่ได้มีความศรัทธาใดๆ กับงานที่ทำ

       คุณอาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง ฉันทำงานเพื่ออะไร ฉันมีความสุขหรือไม่ เพียงแค่นี้คุณก็จะทราบตัวเองว่ามีความลึกซึ้งกับงานที่ทำอยู่เพียงใด เผื่อเราจะได้มีเวลาค้นหาและปรับเปลี่ยนตัวเอง หรือปรับศรัทธาของตัวเองให้เข้ากับงานที่ทำอยู่

          วิริยะ = ฉันขยันหมั่นเพียรกับงานที่มี
        คงไม่มีคนไหนประสบความสำเร็จโดยปราศจากความเพียร เป็นคำคมที่แปลง่ายแต่ความหมายเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก เพราะความวิริยะนั้นเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ ได้ ยิ่งคุณขยันเท่าไรผลตอบแทนที่คุณจะได้รับมันก็มีมากเท่านั้น ยกตัวอย่างต่อจากหัวข้อฉันทะ คุณเป็นพนักงานขายที่มีความศรัทธากับงานที่ทำ มีความสุขในการทำงานเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ร่วมกับความขยันหมั่นเพียร ไม่เฉยชาที่จะต้อนรับลูกค้า กระตือรือล้นหาลูกค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ มีวินัยในการทำงาน ไม่ท้อกับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามา มีความทุ่มเทอย่างนี้ ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ที่สำคัญความวิริยะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความศรัทธาของฉันทะนั่นเอง และความวิริยะไม่ใช่การทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการหมั่นฝึกฝนตนเองต่างหาก


       จิตตะ = ฉันเอาใจใส่รับผิดชอบกับงานที่ทำ 
       จิตใจที่จดจ่อกับงานไม่วอกแวกไปเที่ยวเล่นล้วนเกิดผลดีต่องานที่ทำ จิตตะเป็นธรรมแสดงถึงสติและจิตใจที่รอบคอบและความรับผิดชอบที่จะตามมา ซึ่งในสังคมการทำงานปัจจุบันนี้มุ่งเน้นแย่งชิงตำแหน่งกัน และขัดขาจนลืมคิดไปว่า งานที่ตนเองต้องรับผิดชอบนั้นคือสิ่งใดกันแน่ จิตตะจึงมีความสำคัญในการทำงานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง
ดังนั้น เมื่อคุณมีทั้งฉันทะและวิริยะแล้ว จิตตะจะเป็นเสมือนรั้วของเส้นทางที่ไม่ให้ไขว้เขวออกนอกทางสู่ความสำเร็จได้ รวมทั้งเป็นสติที่สื่อออกมาถึงความมุ่งมั่นที่สูงกว่าความพอใจและความขยัน หมั่นเพียร
 
       วิมังสา = ฉันใคร่ครวญและใช้ปัญญาตรวจสอบงาน  
      สิ่งสุดท้ายในการทำงานคือการใช้ปัญญา ที่เป็นกุญแจสูงสุดของอิทธิบาท 4 เมื่อคุณมีความรักในงานที่ทำ มีความขยันหมั่นเพียร มีสติรับผิดชอบ การมีปัญญาคือการทบทวนตนเองและปัญหา ว่าสิ่งที่เราได้ทำมานั้นมีผลดีผลเสียอย่างไร มีสิ่งใดที่เข้ามากระทบใจเราหรือคนอื่นหรือไม่ เราจะได้รู้จุดยืนของเราว่าทำงานและอยู่ในด้านทุกข์หรือสุข ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ อย่างเช่น ทบทวนตัวเองนิ่งๆ ว่าวันนี้ทั้งวันเราทำอะไรบ้าง สรุปกับตัวเองว่าทำเพื่ออะไร เราจะได้มีกำลังใจต่อในวันต่อๆ ไป และไม่ทำผิดซ้ำซากอีกเช่นเดิม พร้อมกันนั้นเราจะสามารถเห็นหนทางได้ว่า เส้นทางไหนที่จะนำเราสู่ความสำเร็จได้จริงๆ


ขอขอบคุณ : Lisa Weekly

16 มีนาคม 2555

โทษของคนมักโกรธ


โทษของคนมักโกรธ


     บุคคลผู้มีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์  คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย อันเป็นความทุกข์ที่ติดตามเรามานานแสนนาน ต้องอาศัยพลังอำนาจบุญบารมีที่สั่งสมอบรมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะบุญบารมีที่สำคัญมีอานุภาพมาก คือการประพฤติปฏิบัติธรรม ทำใจให้หยุดนิ่งในหนทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย และเข้าถึงความสุขที่แท้จริง กระทั่งได้บรรลุมรรคนิพพาน


มีวาระพระบาลีที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ใน โกธนาสูตร ความว่า


     “คนโกรธมี ผิวพรรณทราม ย่อมนอนเป็นทุกข์ ถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว กลับปฏิบัติสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ ทำปาณาติบาตด้วยกาย และวาจา ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์ ผู้มัวเมาเพราะความโกรธ ย่อมถึงความไม่มียศ ญาติมิตรและสหาย ย่อมเว้นคนโกรธเสียห่างไกล คนผู้โกรธย่อมไม่รู้จักความเจริญ ทำจิตให้กำเริบ ภัยที่เกิดมาจากภายในนั้น คนผู้โกรธย่อมไม่รู้สึก คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ ไม่เห็นธรรม ความโกรธย่อมครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น คนผู้โกรธย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้”


     กิเลสทั้งที่เป็นราคะ โทสะ และโมหะ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าเป็นธุลี เป็นทางมาแห่งมลทินในจิตใจของสรรพสัตว์ เพราะกิเลสเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมจะทำให้สรรพสัตว์มืดมน ทำให้สร้างแต่บาปอกุศล โลกของเราก็ไม่มีความสงบสุข มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายอยู่เป็นนิตย์ บุคคลผู้ต้องการพ้นจากอกุศลธรรม อันเป็นดุจธุลี ๓ ตระกูลนั้น ต้องบำเพ็ญเพียรสร้างความดี ประพฤติปฏิบัติธรรม ลดละเลิกกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ให้ได้  อันเป็นกายหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง


     หากบุคคลใดมีจิตใจที่มืดมน ตกอยู่ในกระแสของกิเลสอาสวะหรือของพญามาร ไม่ประพฤติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย ยังละอกุศลธรรมไม่ได้ บุคคลนั้นย่อมมีแต่ความทุกข์และความลำบากในการดำเนินชีวิต แม้ละโลกไปแล้วก็ต้องทุกข์ต่อในอบายภูมิ


     * ดังเรื่องของ ทุฏฐกุมาร ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้ากิตกาสะแห่งเมืองพราณสี เมื่อทุฏฐกุมารประสูติแล้ว พระราชาทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอุปราช


     วันที่พระราชโอรสประสูติ พวกโหราจารย์ต่างทำนายลักษณะของพระโอรสและกราบทูลพระราชาว่า ถ้าพระราชโอรสไม่ได้เสวยน้ำดังประสงค์ก็จะสิ้นพระชนม์ทันที ด้วยความรักพระราชโอรส พระองค์ทรงหาหนทางแก้ไขในทันที ทรงรับสั่งให้ขุดสระโบกขรณีที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศด้วยทรงเกรงว่า พระโอรสจะไม่ได้เสวยน้ำตามประสงค์แล้วจะสิ้นพระชนม์ อีกทั้งยังรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันทำปะรำมณฑปตาม ๔ แยกถนน แล้วให้ตั้งภาชนะที่ประณีต ใส่น้ำดื่มไว้จนเต็มตลอดเส้นทางอีกด้วย


     เช้าตรู่วันหนึ่ง พระกุมารได้เสด็จไปพระราชอุทยานพร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารเสนาอำมาตย์ ขณะนั้นเองพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตด้วย อาการสงบ น่าเลื่อมใส เมื่อมหาชนเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างพากันออกมานมัสการและใส่บาตร พร้อมทั้งสรรเสริญพระคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้า


     พระราชกุมารผู้เป็นพระอุปราช ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แทนที่จะมีโสมนัสเลื่อมใส อนุโมทนาในการกระทำของมหาชน กลับคิดว่า มหาชนรวมทั้งข้าราชบริพารที่ไปกับเราแทนที่จะสรรเสริญเราผู้เป็นพระราชโอรส เพียงผู้เดียวกลับไปสรรเสริญกราบไหว้สมณะโล้น ผู้นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด คิดดังนั้นแล้วพระกุมารรู้สึกโกรธ จึงเสด็จลงจากหลังช้างตรงเข้าไปแย่งบาตรในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วโยน ทิ้งลงพื้น จากนั้นก็กระทืบบาตร เหยียบย่ำภัตตาหารที่มหาชนได้ถวายด้วยความเลื่อมใสนั้น


     พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ได้แลดูพระพักตร์ของพระราชกุมารด้วยความเมตตา พลางคิดด้วยความกรุณาว่า พระราชกุมารนี้ทรงฉิบหายเสียแล้วเพราะได้ทำกรรมหนักเช่นนี้ จากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงนิ่งไม่ตรัสอะไร พระราชกุมารจึงตรัสขึ้นว่า “ดูก่อนสมณะ ตัวของข้าพเจ้านี้ เป็นพระราชโอรสของพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเมืองพาราณสีนี้ มีนามว่าทุฏฐกุมาร ท่านได้แต่มองดูเรา แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้” ตรัสจบแล้วก็หัวเราะเยาะอย่างร่าเริง แล้วเสด็จหลีกไป ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เหาะกลับเงื้อมเขานันทมูลกะ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย


     ทันทีที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะลับตาไป ทุฏฐราชกุมารผู้ทำบาปกรรมอันหนัก บังเกิดความเร่าร้อนอย่างใหญ่หลวงขึ้นในสรีระ มีความรู้สึกเสมือนร่างกายมีเปลวไฟเผาไหม้ตลอดเวลา ถึงกับล้มลงในที่นั้นเอง เกิดความหิวกระหายน้ำเป็นที่สุด เหล่าเสนาอำมาตย์บริวารต่าง รีบช่วยกันหาน้ำดื่มมาให้พระองค์ แต่น้ำดื่มที่เตรียมไว้ในบริเวณนั้น กลับแห้งขอดทุกแห่ง พระราชกุมารไม่ได้เสวยน้ำ อีกทั้งวิบากกรรมที่ทำไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ส่งผลให้พระองค์สวรรคตในที่นั้นทันที และไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ถูกเปลวไฟแผดเผา เสวยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส


     จะเห็นว่า ความโกรธเป็นภัยต่อตัวเราอย่างยิ่ง ความโกรธเกิดจากอารมณ์ที่ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ขุ่นข้องหมองใจ หงุดหงิด อันเป็นเหตุก่อให้เกิดประทุษร้ายผู้อื่น และเมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือมีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง หรือสามัญชนคนธรรมดา ล้วนเป็นเหตุให้พบกับความหายนะความเดือดร้อนและมีความทุกข์เป็นผลในที่สุด โดยเฉพาะผลกรรมที่ทำกับผู้ทรงศีล มีความบริสุทธิ์หมดจด หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวงจึงเป็นกรรมหนักยิ่ง


     ดังนั้นเราต้องระงับความโกรธให้ได้ และระงับกิเลสที่เป็นราคะ โทสะ หรือโมหะ เพราะเมื่อกิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้ว ย่อมทำให้บุคคลนั้นมีความเศร้าหมองไม่ผ่องใส เป็นทางมาแห่งธุลี ย่อมจะพบแต่ความทุกข์ทรมาน ผลสุดท้ายย่อมไปบังเกิดในนรกทนทุกข์ทรมานอีกยาวนาน


     กิเลส ๓ ตระกูลคือ ราคะ โทสะ และโมหะ เป็นกับดักของพญามารที่คอยล่อลวงเราให้ตกเป็นทาสของเขา ฉะนั้นคนพาลจึงถูกพญามารควบคุมให้เป็นไปในอำนาจของกิเลส แต่สำหรับผู้ที่หมั่นฝึกฝนอบรมตนเองมาดีแล้ว ทั้งมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน ย่อมสามารถขัดเกลากิเลสที่มีอยู่ในจิตใจ ซึ่งเป็นธุลีละเอียดที่ติดอยู่ในใจให้หมดได้ ด้วยการทำความดี ทั้งให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนานั่นเอง

     การประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา นับเป็นหนทางที่ดีที่สุด ในการกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป เพราะเป็นการชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์  ที่จะทำให้เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และที่สำคัญคือ เราจะรู้เท่าทันกิเลสและสามารถกำจัดกิเลสอาสวะที่หมักดองอยู่ในจิตใจให้หมด สิ้นไปได้


12 กุมภาพันธ์ 2555

เป็นมนุษย์ผู้สูงสุด

เป็นมนุษย์ผู้สูงสุด

 

ทั้งกิ่งใบดอกก้านตระหง่านพริ้ว
จะปลิดปลิวบ้างเพราะลมผสมผสาน
ถึงไม่มีลมหมุนไต้ฝุ่นมาร
มาแผ้วพาลก็ยังร่วงจากบ่วงใบ

แต่อารมณ์ข้างในใจมนุษย์

ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน
ทั้งลาภยศเงินตราหามาไว้
เพื่อจะได้ความสุขไม่ทุกข์ตรม

แต่หารู้ไม่ว่าบรรดาสุข

มันเป็นคู่กับทุกข์คลุกประสม
ทั้งสุขทุกข์ดีร้ายไหม้อารมณ์
ไม่เหมาะสมกับการเกิดกำเนิดมา

อันความเกิดเกิดเป็นเช่นมนุษย์

ไม่ควรยุคยื้อแย่งเที่ยวแข่งหา
อำนาจยศสรรเสริญหรือเงินตรา
จนเข่นฆ่ายิงกันสนั่นกรุง

แต่มนุษย์ควรเป็นต้นไม้

ที่เชิดใบดอกระย้าบนฟ้าสูง
ด้วยการสร้างบุญกุศลเป็นผลจูง
ให้จิตสูงเป็นมนุษย์สูงสุดเอย

ที่มา : หนังสือคู่มือดับทุกข์

11 กุมภาพันธ์ 2555

โรคทางใจ มีอยู่ทั่วทุกตัวคน

โรคทางใจ มีอยู่ทั่วทุกตัวคน

 

 

           หนักเบาต่างกันที่อำนาจของกรรมที่ตนกระทำ  คนน่าสงสารในโลกนี้มีมากนัก ทั้งน่าสงสารทางกาย และน่าสงสารทางใจ เราเองแทบทุกคนก็เป็นโรคน่าสงสาร เช่นที่กล่าวแต่เมื่อไม่ใช่โรคทางกาย ก็ไม่เห็นกันไม่รู้กันว่า ตนเป็นคนหนึ่ง จำนวนมหาศาลที่น่าสงสาร และน่าสงสารยิ่งกว่าโรคทางกาย น่ากลัวน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเป็นโรคทางกาย.

         โรคน่าสงสารทางใจตัวเอง ต้องรู้ด้วยตัวของตัวเอง ต้องยอมรับด้วยตัวของตัวเอง จึงจะแก้ไขได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางจะรักษาโรคทางใจได้เลย แม้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็นโอสถรักษาโรคทางใจของผู้ที่ไม่ยอมรับ รู้ว่าใจของตนมีโรค นั่นก็คือผู้ไม่ยอมรับการรักษา ไม่ยอมรับโอสถของพระพุทธเจ้า เขาย่อมเป็นคนน่าสงสารตลอดไป.

          พบคนเช่นนี้พึงย้อนดูตนเอง คงจะต้องพบโรคทางใจด้วยกันเพียงแต่ว่าจะมากน้อยหนักเบากว่ากันเพียงไร ตามอำนาจของกรรมที่ได้กระทำมาแล้วเท่านั้น



ที่มา : หนังสืออำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม

7 กุมภาพันธ์ 2555

กรรมของผู้ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป

กรรมของผู้ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป



       เราได้เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวันแล้ว จากการประกอบภารกิจหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียน ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราจะได้ให้โอกาสแก่ตัวของเราเอง ในการแสวงหาสาระอันแท้จริงของชีวิต เพิ่มเติมสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดให้กับชีวิตของเราด้วยการปฏิบัติธรรม ชีวิตจะได้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม ให้ใจอยู่ในกระแสธรรม จะได้มีความสุขสดชื่นเบิกบาน คลายจากความเหน็ดเหนื่อยที่เราได้ตรากตรำกันมาตลอดทั้งวัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่เราจะได้ฝึกใจให้หยุดนิ่ง เพื่อทำความบริสุทธิ์ให้บังเกิดขึ้นในใจ จะได้เข้าไปพบกับพระรัตนตรัยภายใน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
 
                         “น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ     ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ
                          ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ    วิปากํ ปฏิเสวติ
 
     บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้เสวยผลของกรรมใดอยู่ กรรมนั้นอันบุคคลกระทำแล้วไม่ดีเลย”
 
     อวิชชา คือความไม่รู้แจ้งในพระสัทธรรม เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิต  อวิชชาเป็นรากเหง้าแห่งกิเลสอาสวะทั้งหลาย ที่คอยบังคับให้มนุษย์คิดไม่ดี ส่งผลให้คำพูดและการกระทำไม่ดีตามไปด้วย ความไม่รู้จริงอาศัยความนึกคิดด้นเดานี้ คิดเข้าข้างตนเองบ้างว่า บุญบาปไม่มี หรือสิ่งใดที่ทำไปแล้วคงไม่ส่งผลในภพชาติเบื้องหน้า เมื่อไม่รู้จริง ทำให้เกิดความประมาทมัวเมาในชีวิต เมื่อประมาทก็ทำให้พลั้งพลาดไปทำบาปอกุศล ส่งผลเป็นวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานในอบายภูมิ
 
     บาปอกุศลทุกอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพอทำไปแล้ว จะส่งผลทันทีให้เห็นด้วยตาเนื้อ ถึงแม้ยังมองไม่เห็นผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ก็คือเราจะไม่ค่อยสบายใจ เพราะกรรมดีทุกอย่างที่เราทำจะมีความสุขความสบายใจเป็นผล ส่วนกรรมชั่วที่ทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลกรรมตอบแทน เมื่อถึงเวลานั้นได้แต่บอกว่าสายเกินไปเสียแล้ว จะกลับมาเริ่มต้นใหม่เพื่อสั่งสมบุญให้กับตนเองอีกครั้ง ก็ต้องใช้เวลาอีกยาวนาน เพราะบาปกรรมที่เราทำลงไปนั้นแม้จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม จะส่งผลเป็นวิบากที่ยาวนานเกินกว่าที่เราคาดคิดเอาไว้เสียอีก

 

 
     เหมือนในยุคก่อนพุทธกาล มีเศรษฐีท่านหนึ่งชื่อธนปาลกะ อาศัยอยู่ในเอรกัจฉปัณณรัฐ เป็นผู้ไม่มีศรัทธาและ มีความตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฐิบุคคลคือมีความเห็นว่าบุญบาปไม่มี คิดว่าสิ่งที่ทำไปแล้วในโลกนี้ จะไม่ส่งผลใดๆ ในภพชาติเบื้องหน้า เพราะโลกหน้าไม่มี จึงไม่ทำบุญกุศลเลยตลอดชีวิต มัวแต่ทำมาหากิน รวบรวมทรัพย์สมบัติเอาไว้มากมาย เมื่อละโลกจึงไปบังเกิดเป็นเปรตใน ทะเลทราย มีร่างกายสูงประมาณเท่าต้นตาล มีผิวหนังปูดขึ้น ผมเผ้ารุงรังยุ่งเหยิงไปหมด รูปร่างผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัวมาก เปรตเศรษฐีต้องอดอาหารอยู่นานถึง ๕๕ ปี อยากจะดื่มน้ำแก้กระหายก็ไม่มีให้ดื่ม ริมฝีปากและลิ้นแห้งผาก ถูกความหิวกระหายครอบงำ เที่ยวเดินงุ่นง่านไปตามท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้างที่ธุรกันดาร เพื่อแสวงหาอาหารและน้ำดื่ม แต่ก็ไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านั้นตามความปรารถนา ต้องเป็นเปรตผู้หิวโหยอยู่ตลอดเวลา
 
     ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ได้มีพวกพ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสินค้าเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียนไปค้าขายต่างแดนเป็นเวลาแรมปี ในระหว่างทางได้ปลดเกวียนพักแรมอยู่กลางทะเลทราย ตั้งใจว่าจะนอนพักสักหนึ่งคืน ตกดึกของคืนวันนั้น เปรตก็ออกแสวงหาน้ำดื่มตามสถานที่ต่างๆ อย่างเช่นเคย บังเอิญผ่านมาบริเวณที่พ่อค้ากำลังหลับนอนกันอยู่พอดี แต่เนื่องจากอดอยากมานานจึงหมดเรี่ยวหมดแรง ขาอ่อนล้มลงเหมือนตาลรากขาด พวกพ่อค้านึกว่าต้นไม้โค่นล้ม ก็รีบปลุกกันไปมุงดู แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ต้องแปลกใจกันใหญ่ เพราะสิ่งที่เห็นนั้นคือเปรต จึงไต่ถามว่า “ทำไมจึงมานอนร้องโอดครวญอยู่ที่นี่”
 
     เมื่อรู้ว่า สิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดน่ากลัวและมีกลิ่นเหม็นนั้นคือเปรต ก็ขนลุกขนพองหวาดกลัวไปตามๆ กัน ครั้นพิจารณาแล้วเปรตตนนี้ไม่มีเรี่ยวแรง  และไม่ได้มาร้าย จึงถามเรื่องราวบุพกรรมของเปรตว่า "ท่านทำกรรมชั่วอะไรเอาไว้ จึงมาเกิดเป็นเปรต ทนทุกข์ทรมานอยู่ในทะเลทรายเช่นนี้"
 
     เปรตได้สารภาพบาปของตนเองให้พวกพ่อค้าฟังว่า “เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่ในเมืองเอรกัจฉะ มีพระเจ้าทสันนราชเป็นพระราชา ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาลเศรษฐี ข้าพเจ้ามีทรัพย์ ๘๐ เล่มเกวียน แม้จะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้นก็ตาม แต่ไม่ได้ให้ทาน ได้ปิดประตูบริโภคอาหารตามลำพังคนเดียว เพราะไม่อยากให้พวกยาจกมาเห็น ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น เพราะเชื่อว่าบุญบาปไม่มีจริง เป็นเพียงเรื่องราวที่กุกันขึ้นมาเท่านั้น ข้าพเจ้าได้ด่าพวกยาจกและห้ามปรามมหาชนผู้กำลังให้ทาน ทำแต่กรรมชั่วเอาไว้ จึงต้องมาเป็นอย่างนี้
 
     เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ แม้มีทรัพย์สมบัติมากก็ไม่ยอมให้ทาน ข้าพเจ้าไม่เคยทำที่พึ่งในปรโลกให้กับตนเองเลย บัดนี้ได้รับผลกรรมเหล่านั้นแล้ว ต้องมาเดือดร้อนในภายหลัง พ้นจาก ๔ เดือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องตายตกนรกหมก ไหม้อีก เป็นคุกเหล็ก ๔ เหลี่ยม แยกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นนรกเป็นแผ่นเหล็กที่ลุกเป็นไฟ ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ ลุกโพลงโชติช่วงตั้งอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน นั่นเป็นคติที่จะเกิดขึ้นเพราะได้ทำบาปเอาไว้มาก
 
     เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกอันเร่าร้อนนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายผู้มาประชุมกันที่นี้ พวกท่านอย่าได้ทำกรรมชั่วในที่ไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือที่ลับ ถ้าว่าพวกท่านจักกระทำหรือกำลังทำกรรมชั่วนั้น แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปไหนก็หนีไม่พ้น ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะพราหมณ์ แล้วท่านจักได้ไปสวรรค์”
 
     พวกพ่อค้าเมื่อได้สดับคำของเปรตแล้ว ความกลัวที่บังเกิดขึ้นจับจิตจับใจในครั้งแรกก็มลายหายสูญ เกิดความสลดสังเวชใจเข้ามาแทนที่ มีแต่ความสงสารเปรต ปรารถนาจะอนุเคราะห์เปรตตนนั้น จึงเอาภาชนะตักน้ำดื่มมา ให้เปรตนอนหงาย กรอกน้ำเข้าทางปาก แต่เมื่อราดน้ำลงไปน้ำก็ไม่ไหลลงสู่ลำคอ เพราะเปรตไม่เคยทำบุญเอาไว้จึงดื่มน้ำไม่ได้ พวกพ่อค้าถามเปรตว่า “ท่านได้ดื่มน้ำบ้างไหม” เปรตบอกว่า “น้ำแม้เพียงหยดเดียวก็ไม่ไหลล่วงลำคอของข้าพเจ้า”
 
     พวกพ่อค้าได้ฟังเช่นนั้น ยิ่งเกิดความสังเวชหนักขึ้น ถามว่า “แล้วทำอย่างไรดีพวกเราถึงช่วยท่านได้ล่ะ” เปรตบอกว่า “หากพวกท่านถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพเจ้า เมื่อนั้นข้าพเจ้าจึงจะพ้นจากความเป็นเปรต” ครั้นรุ่งเช้าเปรตก็อันตรธานหายไป พวกพ่อค้าซึ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งคืน รีบเดินทางไปกรุงสาวัตถี เข้าไปกราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พร้อมกับช่วยกันถวายทานตลอด ๗ วัน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เปรตผู้หิวโหยตนนั้น ด้วยหวังว่าจะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน
 
     เราจะเห็นว่า ชีวิตหลังความตายของผู้ที่ไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้นั้น เป็นชีวิตที่อันตรายและอาภัพอับโชคเหลือเกิน อับโชคคือหมดโอกาสที่จะทำความดีหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้สูงขึ้น หมดโอกาสที่จะสั่งสมบุญเหมือนอยู่ในโลกมนุษย์ ต้องไปทุกข์ทรมานด้วยวิบากกรรมที่ตนเองได้ก่อเอาไว้อย่างเดียว ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนพุทธบริษัททั้งหลายให้ละชั่ว ทำแต่ความดี และทำใจให้ผ่องใส จะได้มีสุคติเป็นที่ไป เพราะพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทรงรู้เห็นด้วยสัพพัญญุตญาณว่า นิพพาน ภพสาม โลกันต์เป็นอย่างไร จะไปสวรรค์และนิพพานได้อย่างไร จึงทรงมุ่งสั่งสอนให้ละเว้นจากบาปอกุศลทั้งปวง ให้ทำแต่บุญกุศลล้วนๆ เพราะฉะนั้นให้หมั่นประพฤติธรรม สั่งสมบุญกันอย่างเดียว อย่าได้ประมาทในชีวิต เส้นทางไปสู่สวรรค์และนิพพานของเราจะได้ราบรื่นกันทุกคน


 มก. เล่ม ๔๙ หน้า ๒๑๒


6 กุมภาพันธ์ 2555

สารชมรมพุทธ ประจำวันที่ 1 กันยายน 2554


สารชมรมพุทธ ประจำวันที่ 1 กันยายน 2554









สารชมรมพุทธ ประจำวันที่ 8 กันยายน 2554

สารชมรมพุทธ ประจำวันที่ 8 กันยายน 2554









สารชมรมพุทธ ประจำวันที่ 15 กันยายน 2554

สารชมรมพุทธ ประจำวันที่ 15 กันยายน 2554