27 ธันวาคม 2554

ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว


     การสร้างบารมีเป็น เหมือนเสาหลักของชีวิต ที่มวลมนุษย์ทั้งหลายจะต้องกระทำ เพราะว่าทุกๆคนที่เกิดมาล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เพื่อทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป การจะเข้าถึงจุดที่บริบูรณ์ที่สุดของชีวิตคือพระนิพพานได้นั้น จะต้องมีบุญบารมีมากเพียงพอ และต้องเป็นบุญล้วนๆ ไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นบาปอกุศลเจือปนเลย
 
     บุญที่บริสุทธิ์นี้ จะช่วยกลั่นกาย วาจา ใจของเราทุกๆ วัน จะส่งผลให้ชีวิตของผู้นั้นเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้โดยไม่ยากเลย ต่างกับชีวิตของผู้ที่กระทำแต่บาปอกุศลย่อมจะได้รับผลที่ตรงกันข้าม เสวยแต่ผลแห่งวิบากกรรมที่เผ็ดร้อน มีทุคติอบายภูมิเป็นที่ไป เพราะการเกิดมาในสังสารวัฎนั้น เมื่อทำดีต้องได้ดี ส่วนทำชั่วก็ย่อมจะได้รับผลชั่ว เมื่อเราทราบกันอย่างนี้ก็ควรตระหนักและมีใจมั่นคงในความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งกันอย่างสม่ำเสมอ จิตใจเราจะได้มั่นคงต่อหนทางแห่งความดีงามได้ตลอดไป
 
มีวาระพระบาลีที่ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ชาดก ความว่า
 
                         “ยานิ กโรติ ปุริโส       ตานิ อตฺตนิ ปสฺสติ
                          กลฺยาณการี กลฺยาณํ    ปาปการี จ ปาปกํ
                          ยาทิสํ วปเต พีชํ         ตาทิสํ หรเต ผลํ
 
     บุคคลทำกรรมใด ย่อมมองเห็นกรรมนั้นในตน ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ผลย่อมงอกขึ้นเช่นนั้น”
 
     มีทุพภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ถ้อยคำอย่างนี้กลับเริ่มแผ่ขยายไปในทุกๆ หมู่ชน โดยเฉพาะผู้ที่หาเช้ากินค่ำ ต้องการแสวงหาปัจจัยเลี้ยง ชีพในทางที่ผิด ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่ผิด อย่าไปคิดและอย่านำไปปฏิบัติอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เรากลายเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ จะก่อให้เกิดความหายนะแก่ตัวของเราเองทั้งภพนี้และภพหน้า การเข้าใจในสิ่งที่ผิดๆ อย่างนี้ จะก่อให้เกิดแต่ความเสียหายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเคยเกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ผลก็ปรากฏชัดเจนว่า นำมาแต่ความทุกข์เท่านั้น เรื่องราวที่เป็นตัวอย่างเช่นนี้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยทรงนำมาตรัสเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจพุทธ สาวก เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เป็นคติสอนใจอย่างดีเยี่ยม
 
     * มีอยู่คราวหนึ่ง พระโอรสของพระเจ้าอุเทนพระนามว่า โพธิราชกุมาร ประทับอยู่ที่สุงสุมารคีรี ได้รับสั่งให้เรียกช่างไม้ที่มีฝีมือดีที่สุดในยุคนั้นมาคนหนึ่ง ให้สร้างมหาปราสาทชื่อว่า โกกนุท โดยสร้างไม่ให้เหมือนกับพระราชวังของพระราชาอื่นๆ มหาปราสาทโกกนุทนี้สวยงามมาก สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ มองดูแล้วเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ มีความวิจิตรพิสดารมาก ตอนเริ่มสร้างก็ดูยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วเกิดมีความระแวงขึ้นมาว่า หากปล่อยช่างไม้นี้ไว้ เดี๋ยวคงต้องไปสร้างให้กับที่อื่นอีก จะทำให้ปราสาทของเรานี้ไม่เป็นสิ่งอัศจรรย์ของโลก จึงรับสั่งให้ควักนัยน์ตาของนายช่างไม้นั้นออกเสีย 
 
     เรื่องราวที่โพธิราชกุมารทำลงไปอย่างนี้ กลายเป็นข่าวแพร่ กระฉ่อนไปทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ในหมู่ภิกษุสงฆ์ก็ยังนั่งสนทนาถึงเรื่องนี้กันในโรงธรรมสภา ในขณะนั้นพระบรมศาสดาเสด็จเข้ามาพอดี พระองค์จึงตรัสถามว่า ที่นั่งสนทนากันนี้ปรารภถึงเรื่องอะไร? เมื่อพระภิกษุสงฆ์กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย โพธิราชกุมารนั้น ไม่ใช่จะเป็นคนที่หยาบช้าสามานย์แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตก็เคยมีนิสัยเช่นนี้มาแล้ว ตนเองจึงต้องประสบผลแห่งการกระทำนั้นชนิดทันตาเห็นทีเดียว” เมื่อพระภิกษุอ้อนวอน พระองค์จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าว่า
 
     ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์อยู่ในเมืองตักกศิลา สอนศิลปะวิทยาให้กับพระราชโอรสและบุตรของพราหมณ์ชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้พระโอรสของพระเจ้าพาราณสีพระนามว่าพรหมทัตกุมาร ก็ได้ศึกษาในสำนักของพระโพธิสัตว์เช่นกัน ได้เรียนพระเวททั้ง ๓ กับพระโพธิสัตว์ พระเวทสามนี้ เป็นความรู้ทางศาสนาพราหมณ์ มักจะเรียกสั้นๆ ว่า ไตรเพท เป็นคัมภีร์ศักสิทธิ์ตามความเชื่อของทางศาสนาพราหมณ์ มีความรู้ที่บรรจุไว้อยู่สามอย่างคือ ๑. ฤคเวท เป็นความรู้ที่ประมวลบทสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อของศาสนิกในยุคนั้น  ๒. ยธุรเวท ประกอบด้วยบทสวดอ้อนวอน หรือขับร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ และ  ๓. สามเวท เป็นการประมวลบทเพลงสำหรับสวดหรือร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญเช่นกัน เป็นความรู้ที่คนในสมัยนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระโพธิสัตว์เจ้า พรหมทัตกุมารนี้ได้ศึกษาอยู่กับเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย
 
     โดยอุปนิสัยดั้งเดิมของพรหมทัตกุมารแล้ว เป็นคนที่กักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ด้วยอำนาจแห่งความรู้ที่ดูลักษณะ พระโพธิสัตว์จึงกล่าวพร่ำสอนตักเตือนเนืองๆ ว่า ”ดูก่อนพ่อ ความเป็นใหญ่ที่ได้มาด้วยความหยาบช้านั้น จะดำรงอยู่ได้ไม่นานเลย เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผู้ที่ได้ขึ้นเป็นใหญ่ด้วยความหยาบช้า จะไม่ได้ที่พึ่งจากบุคคลรอบข้าง เหมือนคนเรือแตกที่ไม่มีที่พึ่งกลางสมุทรฉะนั้น ดังนั้นพระองค์อย่าเป็นคนที่มีอุปนิสัยอย่างนี้เลย” ตอนที่อยู่กับอาจารย์ท่านก็ดูรับฟังด้วยความเคารพเชื่อฟังในทุกถ้อยคำ
 
     หลังจากที่ศึกษาศิลปวิทยาจนจบการศึกษา ก็เดินทางกลับไปยังนครพาราณสี เพื่อเข้ารับตำแหน่งอุปราชประจำพระนคร จนกระทั่งพระราชบิดาสวรรคต จึงได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อ อาจจะเป็นความอับโชคของท่านก็ว่าได้ เพราะมีปุโรหิตที่ปรึกษาประจำพระองค์เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง และเป็นผู้ที่มีความโลภในลาภ ยศ ไม่รู้จักพอ เกิดความคิดที่ไม่ดีขึ้นมาว่า เราจะยุให้พระราชาทำการยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีปดีกว่า เพราะหากว่าพระราชาของเราเป็นผู้ที่ครองราชย์ในชมพูทวีปแล้ว เราในฐานะปุโรหิตที่ปรึกษา ย่อมจะได้รับลาภ ยศ  ชื่อเสียงยิ่งขึ้นตามไปด้วย ด้วยความปรารถนาลามกเช่นนี้จึงทำการยุยงพระราชาอยู่ทุกๆ วัน จนกระทั่งพระราชาคล้อยตามความคิดของปุโรหิตผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น
 
     พระเจ้าพรหมทัตราชาแห่งพาราณสีจึงกรีฑาทัพครั้งใหญ่พร้อมกับเหล่าเสนาทหาร จำนวนมากเดินทางไปทั่วชมพูทวีป เมืองแรกที่ทำการรบได้ใช้วิธีปิดล้อมรบจนกระทั่งได้รับชัยชนะ ทำอย่างนี้จนยึดเมืองได้ก็จะเดินทางต่อไป สามารถรบจนได้รับชัยชนะทั่วทั้งชมพูทวีป ยึดเมืองและจับพระราชาได้ถึง ๑,๐๐๐ พระองค์ และเดินทางพร้อมกับพระราชาที่ศิโรราบมุ่งตรงไปยังพระนครสุดท้ายคือ นครตักกศิลา ซึ่งเป็นเมืองที่ตนเองเคยเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนเมื่อครั้งยังเป็นพระราช โอรส 
 
     ในขณะเดียวกัน อาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่นเช่นเดิม ด้วยความเป็นผู้ที่มีปัญญา จึงวางแผนป้องกันพระนครอย่างเต็มความสามารถ ทำให้พระเจ้าพรหมทัตไม่สามารถกรีฑาทัพเข้ายึดครองได้ พระราชาจึงให้ตั้งค่ายพักรี้พลอยู่นอกพระนคร ให้วงม่านใต้ต้นไทรใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา แล้วทำเพดานข้างบน ลาดที่บรรทมแล้วพักผ่อน ท้าวเธอแม้จะพาเอาพระราชาทั้งพันพระองค์มาช่วยออกรบ ก็ยังไม่สามารถยึดนครตักกศิลาได้
 
     เมื่อไม่สามารถที่จะยึดได้อย่างที่ตั้งใจ จึงปรึกษากับปุโรหิตมิจฉาทิฏฐิว่า เราควรจะทำอย่างไรดี จึงจะสามารถยึดเมืองนี้ได้ ปุโรหิตได้ให้คำปรึกษาว่า “มหาบพิตร เราควรจะทำพลีกรรมด้วยการควักนัยน์ตาของพระราชา ๑,๐๐๐ พระองค์ แล้วปลงพระชนม์เสีย ผ่าท้องเถือเอาเนื้อที่อร่อย กระทำพลีกรรมแก่เทวดา เอาเกลียวไส้ทั้งหลายวงรอบต้นไทรแล้วเจิมด้วยโลหิต ชัยชนะจะมีแก่เราอย่างแน่นอน”
 
     ด้วยความเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยหยาบช้าอยู่แล้ว เมื่อได้ทรงรับฟังอย่างนั้นก็ไม่ต้องพินิจพิจารณาเลย รับสั่งให้ทำตามคำของปุโรหิตทันที โดยวางแผนให้เรียกพระราชาเข้ามาทีละองค์ แล้วทำให้สลบด้วยการบีบคอ ควักนัยน์ตา แล้วฆ่าให้ตาย เอาแต่เนื้อไว้ ลอยซากศพลงไปในแม่น้ำคงคา แล้วทำพิธีบวงสรวงเทวดา กรรมที่พระเจ้าพรหมทัตทรงกระทำในครั้งนั้น เป็นบาปอกุศลอย่างยิ่ง กรรมชั่วนั้นส่งผลในทันที ได้มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า อัชชิสกตะ มาควักนัยน์ตาข้างขวาของพระองค์ไป เวทนาอย่างใหญ่หลวงบังเกิดขึ้นกับพระองค์ ถึงกับนอนร้องครวญครางอยู่บนที่บรรทม
 
    ในขณะนั้นเอง มีแร้งตัวหนึ่งบินมาจับอยู่บนยอดไม้ เมื่อกินเนื้อหมดแล้วทิ้งกระดูกลงมา ซึ่งเป็นกระดูกที่มีปลายคมกริบ ปลายกระดูกนั้นตกลงมาที่พระเนตรข้างซ้ายเข้าให้อีก ทำให้พระเนตรทั้งสองแตกไป เหมือนถูกหลาวเหล็กแทง
 
     เมื่อได้ประสบกับความทุกข์ทรมานเข้าแล้ว จึงหวนคิดถึงถ้อยคำของอาจารย์ที่เคยกล่าวตักเตือนตนเองไว้ว่า คนที่สร้างกรรมก็ย่อมจะเสวยวิบากที่สมควรแก่กรรม อาจารย์ก็ตักเตือนเราแล้ว ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ตัวเรากลับไม่เชื่อฟัง จึงต้องประสบกับความทุกข์อย่างนี้ พระเจ้าพาราณสีนั้น นอนบ่นเพ้ออยู่อย่างนี้จนกระทั่งสวรรคตลง ตายแล้วก็ไปบังเกิดในนรก  ส่วนปุโรหิตมิจฉาทิฏฐิไม่สามารถทำความเป็นใหญ่ให้ตนเองได้ เมื่อพระราชาสวรรคตไพร่พลก็แตกกระสานซ่านเซ็นไป 
 
     พระบรมศาสดาครั้นทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าจบลง แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระราชาครั้งนั้นคือพระโพธิราชกุมาร ปุโรหิตคือพระเทวทัต ส่วนอาจารย์ทิศาปาโมกข์ คือตถาคต
 
     เราจะเห็นกันแล้วว่า หากใครทำกรรมใดไว้ย่อมจะได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน จะต้องประสบกับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อยู่ที่ว่าเหตุการณ์นั้นจะปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ย่อมส่งผลให้ประจักษ์แก่ผู้นั้น ดังนั้นเราควรจะเป็นผู้ที่หนักแน่นมั่นคงอยู่กับการทำความดี อย่าทำบาปกันจนคุ้น ครั้นเมื่อบาปไม่ส่งผลก็เลยนึกว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำบาปนี่แหละจะทำให้เรามีปัญหาติดตาม ข้ามภพข้ามชาติ ซึ่งการไปแก้ไขที่ปลายเหตุเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก มีแต่รับใช้ผลกรรมที่จะเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นดีที่สุดคือทำแต่บุญกุศล เว้นไกลจากบาปทุกๆ ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติธรรม เพื่อกลั่นจิตใจของเราให้ผ่องใสอยู่เนืองนิตย์ จะทำให้ชีวิตของเรามั่นคงดำรงอยู่ในเส้นทางแห่งความดียิ่งๆ ขึ้นไป

26 ธันวาคม 2554

งานตักบาตรเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

งานตักบาตรเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

      
       ในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔  ที่ผ่านมา  ชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับองค์การบริหารกิจการนิสิตได้ร่วมมือกันจัดงานตักบาตรเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  เพื่อที่จะเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในวาระพระชนต์มายุครบ ๘๕ พรรษาในปีนี้  จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ ๘๕ รูปมารับบิณฑบาต  มีครูอาจารย์ นิสิต บุคลากรและสาธุชนผู้ใจบุญได้เข้าร่วมงานตักบาตรครั้งนี้เป็นจำนวนมาก  สร้างความปิติยินดีแก่ผู้จัดงานเป็นอย่างมาก และการตักบาตรครั้งนี้ยังนำปัจจัยส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอีกด้วย  จึงขออนุโมทนาบุญทุกท่านมา ณ โอกาสนี้




















Supervisor ผู้นำแสงสว่างสู่ใจเยาวชน ตอนที่ 2

Supervisor ผู้นำแสงสว่างสู่ใจเยาวชน ตอนที่ 2

        ในการจัดสอบตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า ครั้งที่ 2 สำหรับศูนย์สอบจังหวัด กรุงเทพฯ ซึ่งน้องๆจะติดอุปสรรคต่างๆในการมาสอบ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์สอบบ้างเขตปิด  แต่น้องๆมีความตั้งใจที่จะสอบมากๆจึงเดินทางไกลเพื่อจะมาสอบให้ได้  หรือบ้างโรงเรียนติดเรียนเพิ่มเติมวันเสาร์  น้องๆก็ยอมสละเวลาเรียนอันมีค่าเพื่อที่จะมาสอบในครั้งนี้  เพราะน้องๆทุกคนเห็นความสำคัญว่าการสอบครั้งนี้จะสามารถฟื้นฟูสิ่งที่ดีให้กลับคืนมาได้    มาชมภาพบรรยากาศในการจัดสอบตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า ครั้งที่ 2 กันนะครับ










17 ธันวาคม 2554

ข้อคิดให้กำลังใจตัวเองที่ดีๆ

ข้อคิดให้กำลังใจตัวเองที่ดีๆ 



                                                 ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า        
                                            แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง 
                                            และคนฉลาดที่สุด              
                                            ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง
      

                                                  ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า     
                                            การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต
                                            ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป                   
                                            ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน 



                                                   คนที่ไม่เคยหิว                        
                                            ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม
                                            ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว      
                                            ย่อมหอมหวานกว่าเดิม 
    
                                                   อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง      
                                            อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
                                            เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน            
                                            อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว 
                                            คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า                                         
                                            ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร


                                                    ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น        
                                            ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
                                            หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ               
                                            มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
      

                                                  คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง            
                                            แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ 
                                            หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย    
                                            หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง 

                                           
ที่มา   dhammajak.net

14 ธันวาคม 2554

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด


มีใครรู้บ้างว่า ชีวิตของคนเรานั้นจะมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้สักกี่ปี  

       ชีวิตของคนเรานั้นมันช่างสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างใสเสียอีก เราจะตายวันตายพรุ่งก็ยังมิมีใครอาจที่จะรู้ได้เลย
 
       หากแม้ว่าเราจะใช้เวลาอันแสนสั้นนี้อยู่ กับ การหลับๆตื่นๆ ลุ่มหลง กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ชอบคนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
 
      คนรุ่นใหม่มักหลงใหลเปลือกของชีวิตอย่างมาก โดยไปว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูสิว่าเราจะขาดทุนขนาดไหน
 ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''
 
       คนเราทุกคนไม่ควรเลยที่จะปล่อยเวลาอันแสน มีค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ตกไปตามทาสของความชอบ ความเกลียดชัง มากรัก เพราะหากว่าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสมันก็มันก็จะพาเราวิ่งหรือทำสิ่งนั้นสิ่งนี้จนไม่รู้จักจบ เพราะกิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ทว่าใจของคนเรานี้สิมันจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้สักกี่เท่าตัว
 
     ควรปรับความคิดเสียใหม่ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะชอบหรือไม่ชอบใคร หรือแม้กระทั่งเพื่อที่จะให้ใครมาชอบเรา
 
      แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ และเอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
 
       ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่มันเป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรจะทำ และนอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
 
      คนเราทุกคนนั้นก็ต่างมีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าหากว่าเราเลือกมองด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็จะเร่าร้อน หม่นไหม้
 
      เวลาที่เสียไปนั้นเพราะมัวแต่ไปสนใจด้าน ไม่ดีของคนอื่นก็อาจเป็นเวลาที่ใช้ไปอย่างไร้ค่า บางคนที่เรามองและรู้สึกไม่ดีกับเขา เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกับเราเลย เรานั้นเผาตัวเองอยู่แต่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสียอีกด้วย
 
      วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจที่เป็นแบบนี้มันไม่เคยทำให้ใครจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย จงเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่เถิด
 
      คิดเสียว่าเราไม่มีใครที่จะดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติเสียทั้งหมดหรอก เรานั้นอยู่บนโลกใบนี้คนละไม่กี่ปี อีกสักประเดี๋ยวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
 
       เราจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระกันทำไม อะไรที่เราควรจะทำก็จงรีบทำเถิดและจงปล่อยวางเสียบ้าง    ความโกรธ และความเกลียดนั้นมันไม่มีค่าพอที่จะต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้ได้เลย



มุ่งไปข้างหน้า...    จงไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตของเราดีกว่า
 
      วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง'' กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
 
      แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน'' แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
 
      เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น
 
       วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรา รู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุดอย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์
 
       ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง ''
 
       ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

อานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญ


อานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญ


     สรรพสัตว์ ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ต่างปรารถนาความสุขและความปลอดภัยในชีวิต เพราะธรรมชาติของสัตว์โลกนั้น มีความกลัวเป็นพื้นฐาน จึงต้องแสวงหาที่พึ่ง เพื่อเพิ่มเติมความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิต แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดคืออะไร อยู่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด พวกเรานับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ที่รู้ว่าพระรัตนตรัยเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นเยี่ยมกว่ารัตนะใดๆ ในภพสาม เป็นเครื่องส่องนำทางให้เราได้เข้าถึงสุคติสวรรค์และนิพพาน ช่วงเวลานี้จึงมีคุณค่ายิ่งที่เราจะมาตรึกระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เพื่อให้ได้เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตคือ
 
มีวาระพระบาลีที่ใน วิหารวิมาน ความว่า
 
     "บุคคล ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว เป็นพระทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระสุคต ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้มีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่คำนวณนับมิได้ เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนน้ำมิได้ ก็พระสงฆ์เหล่านี้ เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้น เป็นอันได้ถวายดีแล้ว"
 
     การทำบุญถวายสงฆ์มีอานิสงส์ใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ เหมือนชาวนาหว่านพืชลงในเนื้อนาดีฉันใด ผู้ปรารถนาสวรรค์นิพพานก็ต้องรู้จักเลือกเนื้อนาบุญที่ให้ผลเกินควรเกินคาด ฉันนั้น ถ้าหว่านพืชคือศรัทธา แล้วถวายทานในเนื้อนาบุญอันเลิศ ผลบุญอัน เลิศย่อมบังเกิดขึ้น ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยความยากลำบากนั้นก็คุ้มค่า เพราะบุญจะช่วยเชื่อมสายสมบัติ ให้ได้เป็นเจ้าของสมบัติใหญ่ไปทุกภพทุกชาติ
 
     ที่น่าอัศจรรย์คือ เพียงแค่ทำจิตให้เลื่อมใสในบุญกุศลที่คนอื่นได้สร้าง  แล้วกล่าวคำอนุโมทนาบุญด้วย ยังเป็นเหตุให้ได้สุคติโลกสวรรค์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว บุญจากการอนุโมทนาที่เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย  เป็นบุญพิเศษที่บางท่านมองข้ามไป พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า การอนุโมทนาบุญนี่แหละเป็นทางมาแห่งบุญ เพราะเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ และให้อนุโมทนาบุญเมื่อเห็นคนอื่นทำความดีกัน
 
      ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล มหาอุบาสิกาวิสาขาได้สร้างวิหารถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ท่านได้สละเครื่องประดับซึ่งมีราคาถึง ๙ โกฏิ สร้างปราสาทหลังใหญ่ให้เป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ถึง ๑,๐๐๐ ห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐๐ ห้อง เสมือนเทพวิมาน มีภาคพื้นดุจคลังแก้วมณี และการก่อสร้างในครั้งนี้ มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด
 
     การก่อสร้างวิหารใช้เวลา ๙ เดือนจึงสำเร็จ จากนั้นมีการฉลองวิหารโดยใช้เงินถึง ๙ โกฏิ มหาอุบาสิกาวิสาขาพร้อมด้วยเพื่อนหญิงประมาณ ๕๐๐ คนขึ้นไปชมปราสาท ได้เห็นสิริสมบัติของปราสาทนั้น เกิดความปลื้มปีติในมหาทานบารมีของ ตน จึงพูดกับเพื่อนหญิงว่า “พวกเธอจงอนุโมทนาบุญที่ฉันได้ขวนขวายทำเถิด ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวกเธอ” เพื่อนหญิงทั้งหมดมีใจเลื่อมใสต่างอนุโมทนาว่า “สาธุ สาธุ ดีแล้ว”
 
     ในบรรดาเพื่อนหญิงทั้งหมดของเธอ มีคนหนึ่งใส่ใจในการอนุโมทนาบุญเป็นพิเศษ เธอรู้สึกเลื่อมใสราวกับตนเองได้ทำด้วยมือฉะนั้น ครั้นละโลก เธอได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ และด้วยบุญญาอานุภาพของเธอ วิมานหลังใหญ่กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ ได้บังเกิดขึ้น วิมานนั้นประดับประดาด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยานและสระโบกขรณี ปรากฏล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปได้ ๑๐๐ โยชน์ ครั้นเธอก้าวเดินก็เดินไปพร้อมกับวิมาน
 
     วันหนึ่ง พระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปในเทวโลก เห็นเพื่อนของมหาอุบาสิกาวิสาขาก็จำได้ จึงเข้าไปถามว่า “ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศเหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนรำอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่ารื่นรมย์ใจ ก็เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนพร้อมกับกลิ่นกายที่หอมฟุ้ง เมื่อท่านเคลื่อนไหวกาย เครื่องประดับที่ช้องผมก็เปล่งเสียงกังวานฟังไพเราะ มาลัยประดับศีรษะเมื่อต้องลมก็ส่งเสียงดังกังวานไพเราะยิ่งนัก พวงมาลัยบนศีรษะของท่านก็มีกลิ่นหอม ดูก่อนเทพธิดา ผลบุญที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านได้ทำกรรมอะไรมา”
 
     เทพธิดาผู้มีบุญตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาอุบาสิกาวิสาขา  สหายของดิฉันอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารและการบริจาคทรัพย์ อุทิศสงฆ์ได้บังเกิดความเลื่อมใสในบุญนั้น จึงอนุโมทนาบุญด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและมหาปีติ ดิฉันได้วิมานที่อัศจรรย์น่าทัศนา ก็เพราะการอนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์ในครั้งนั้น วิมานลอยไปในเวหาเปล่งรัศมีสว่างไสว ห้องรโหฐานที่อยู่อาศัย ล้วนแล้วแต่บุญปรุงแต่งประหนึ่งเนรมิตไว้เป็นส่วนๆ  เมื่อส่องแสงก็ส่องสว่างไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบทิศ
 
     นอกจากนี้ วิมานของดิฉันยังมีสระโบกขรณี มีหมู่มัจฉาแหวกว่ายน่าดูชม มีนํ้าใสสะอาด ปูลาดไว้ด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมบัวหลวงหลากชนิด ยามลมรำเพย ก็โชยกลิ่นระรื่นจรุงใจ มีรุกขชาตินานาชนิด คือ หว้า ขนุน ตาล มะพร้าว และต้นไม้ผลไม้นานาพันธุ์เกิดขึ้นเองภายในนิเวศน์โดยไม่ต้องปลูก วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรี เหล่าอัปสรเทพนารีต่างส่งเสียงรื่นเริงยินดี วิมานมีรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศและน่าชมเช่นนี้ ล้วนบังเกิดขึ้นเพราะกุศลกรรมที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญเพียงอย่างเดียวเท่า นั้น"
 
     พระอนุรุทธเถระคิดว่า “เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานที่ผู้อื่นทำ  ยังได้เสวยทิพยสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ แล้วมหาอุบาสิกาวิสาขาผู้เป็นต้นบุญในการถวายมหาวิหาร หากละโลกไปแล้ว เธอจะไปบังเกิดที่ไหน” ดังนั้น พระอนุรุทธเถระจึงได้ถามเทพธิดา
 
     เทพธิดาตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาวิสาขานั้นเป็นสหายของดิฉัน ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ เธอได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นปชาบดีของท้าวสุนิมมิตเทวราช วิบากแห่งกรรมของมหาอุบาสิกาวิสาขา ที่ใครๆ คาดไม่ถึง เพราะเธอได้สั่งสมบุญกุศลไว้มากมายกว่าดิฉันยิ่งนัก
 
     ขอพระคุณเจ้าโปรดชักชวนคนอื่นๆ ว่า พวกท่านจงถวายทานแด่สงฆ์เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรม การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการได้โดยยาก บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นเป็นทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีผลมาก เพราะพระสงฆ์เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่ ไม่อาจคำนวณนับได้ เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนนํ้ามิได้ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้นเป็นอันถวายดีแล้ว บูชาดีแล้ว ทักษิณานั้นถึงสงฆ์แล้ว ย่อมมีผลมาก ชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในภพ  พึงกำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมทั้งบาปอกุศล ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์”
 
     เราจะเห็นว่า เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานบารมีที่คนอื่นทำ ยังได้รับอานิสงส์ใหญ่เกินควรเกินคาดถึงเพียงนี้ การเปล่งถ้อยคำที่ออกมาจากใจว่า “ขออนุโมทนาบุญ” จึงมิใช่คำที่พอดีพอร้าย หากใจเรามีมหาปีติเลื่อมใสในบุญกุศลที่บุคคลอื่นทำจริงๆ ผลบุญจะบังเกิดขึ้นกับตัวเรามากทีเดียว อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง  ดังนั้นให้หมั่นมีมุทิตาจิตกับคนอื่น เมื่อเห็นบุคคลใดทำความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้รีบยกมือกล่าวอนุโมทนาสาธุการกับบุคคลนั้นทันที
 
     และถ้าจะให้ดี ตัวเรานั่นแหละควรขวนขวายในการทำบุญกุศลให้เต็มที่ อย่ามัวคิดดูก่อน แต่จงเร่งรีบทำบุญก่อนใคร ไม่คอยแต่รออนุโมทนาบุญกับใคร แต่ให้คนอื่นมาอนุโมทนาบุญที่ได้ทำไปกับเรา เราจะได้เป็นต้นบุญต้นแบบให้กับชาวโลก และเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

12 ธันวาคม 2554

Supervisor ผู้นำแสงสว่างสู่ใจเยาวชน

Supervisor ผู้นำแสงสว่างสู่ใจเยาวชน


         ในวันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคมที่ผ่านมา เหล่าพี่น้องชมรมพุทธ จุฬาและน้องนิสิตที่สมัครเข้าร่วม Supervisor ได้พากันออกไปนำธรรมะสู่ใจ เยาวชนไทย โดยการจัดสอบ ธรรมะทางก้าวหน้า เรื่อง มงคลชีวิต 38 ประการ  ในศูนย์สอบต่างๆทั่วกรุงเทพมหานคร  โดยออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพื่อไปจัดเตรียมศูยน์สอบ  เมื่อไปถึงโรงเรียนศูนย์สอบก็พบน้องๆนักเรียนที่เตรียมตัวมาสอบ ที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  ดีใจที่จะสอบธรรมะทางก้าวหน้ากัน  เนื่องด้วยหลายโรงเรียนประสบอุทกภัย  ทำให้ไม่สามารถสอบ  พี่ๆSupervisor จึงทุ่มเทกับการจัดสอบครั้งนี้กันอย่างเต็มที่  จนได้รับคำชมเชยจากอาจารย์และคำขอบคุณจากน้องๆนักเรียนกันอย่างมากมาย