16 พฤศจิกายน 2554

มองหาอะไรในชีวิตมหา'ลัย

มองหาอะไรในชีวิตมหา'ลัย



หลายชีวิต .. ต้องจบลงก่อนที่จะรู้ว่า ตัวเองนั้น "เกิดมาทำไม"  ความสามัญของคำถาม ดูเหมือนจะตอบได้ไม่ยากจากสามัญสำนึกที่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก  จึงมีผู้ละเลยในการตอบให้กับชีวิต หรือ เพิกเฉยในการค้นหา   เพราะหาที่สุดของคำตอบนั้นไปไม่ได้...

       ดูช่างน่าเสียดายนัก ที่หลายต่อหลายคน เป็นคนฉลาดรอบรู้ สามารถตอบปัญหาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย แต่ไม่อาจตอบปัญหาที่สำคัญที่สุดในชีวิตได้ หรือไม่เคยคิดจะตอบมันอย่างจริงจัง
 
         เมื่อเขายังไม่รู้เลยว่า...ตัวเองเกิดมาทำไม...?..   มีหน้าที่เกิดมาทำอะไรกันแน่? ใยเล่า? จะสามารถดำเนินและสรรหาเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องได้

 เขาเหล่านั้นจึงได้แต่ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ ตามความรู้สึกที่นิยามขึ้นมาเองว่า "มันถูกต้อง" เพราะฉะนั้น จึงมีคนดำเนินชีวิตถูกบ้าง...ผิดบ้าง

        บาง คน...ต้องเสียน้ำตา ต้องฝืนยิ้ม ต้องเล่นเกมขีวิตที่ออกจะดูสุขุม แต่แท้จริงกลับขมขื่น...บางชีวิตบ่งถึงความมั่งคั่ง แต่ขาดความมั่นคงใด ๆ ในจิตใจ เขาจึงต้องแสวงหาอย่างไร้จุดหมายต่อไป จนแล้ว...จนเล่า...และในที่สุดพวกเขาเหล่านั้นก็จบชีวิตลง โดยยังไม่พบเลยถึงเป้าหมายของการเกิดมา ว่าแท้จริง...เขาเกิดมาทำไม!!

ที่จริง!! มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม...  ไม่ได้เกิดมาเพื่อตายแล้วเกิดใหม่  หรือเกิดมาเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งให้ถึงที่สุด แล้วสุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้

แต่แท้จริง มนุษย์เกิดมาเพื่อทำความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ให้เกิดขึ้น เกิดมาเพื่อสั่งสมความดี ตามหลักทาน ศีล ภาวนา อันเป็นเหตุที่ทำให้เราหมดทุกข์ พบความสุข และเป้าหมายอันที่สุด คือ นิพพาน หรือ ที่สุดแห่งธรรม ตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ปัจจุบัน โลกยุคโลกาภิวัฒน์ก็มิได้ทำให้ความสับสนทางจิตใจของมนุษย์ลดน้อยลงเอย กลับยิ่งทวีความเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจให้มากขึ้นไปตามลำดับ  จึงทำให้มนุษย์แก่งแย่ง แข่งขัน และแสวงหา...  จนหลงลืมเป้าหมายของการเกิดมา ด้วยเหตุนี้  จึงทำให้มนุษย์งสับสนอยู่มาก ในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับโลก  ชีวิตและจุดมุ่งหมายที่ชีวิตควรดำเนินไปให้ถึง

อะไรคือสิ่งที่เขาควรแสวงหา  และอะไรคือสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับมัน บนโลกกว้างใบนี้ มีสิ่งต่าง ๆ ให้เราเรียนรู้มากมาย แต่น่าเสียดาย!  ...เราไม่มีชีวิตยีนยาวพอที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งได้ เราจึงควรที่จะเลือก...เลือกที่จะดำเนินชีวิต เรียนรู้ว่าแก่นสาร สาระที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร

       สิ่งใดคือความสุขที่แท้จริงที่ทำให้ชีวิตเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นผู้ดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาท ได้ใช้เวลาในชีวิตของเราอย่างคุ้มค่า สมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์

ดังนั้น เราจึงควรมาเรียนวิชาที่ว่าด้วยชีวิต  ซึ่งเป็นวิชาที่สำคัญมากที่สุด มากกว่าวิทยาการใด ๆ บนโลกที่เราเรียนเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาของชีวิต และทำให้พบความสุขที่แท้จริง   ส่วนวิชาทางโลกที่เราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงวิชาที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพหาเงินมาเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอดเท่านั้น  ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อร่างกายมีชีวิตรอดแล้ว  จะทำให้ชีวิตมีความสุขเมื่อไหร่!!

ฉะนั้น  จงอย่าใช้ความมั่งคั่งมาเป็นตัววัดความสำเร็จในชีวิตอีกเลย คนโง่...มักเอาชีวิตของตนไปแขวนไว้กับ ทรัพย์ ยศ ไมตรี  แล้วสุดท้าย...คืออะไร?..กลับเอาอะไรไปไม่ได้  ซ้ำชั่วชีวิตของการแสวงหานั้น ก็คิดตลอดว่า มันคือความสุข  แต่กลับได้ความทุกข์โดยไม่ตั้งใจเสมอมา

        แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่า...  ทำไมผู้เฒ่าผู้แก่แทบทุกคนถึงหันมาสนใจธรรมะ? หากเราลองมองย้อนกลับไป บนเส้นทางการศึกษาที่ผ่านมา มีวิชาไหนบ้างที่สอนให้เรารู้จักชีวิตและเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง นอกเสียจากวิชาที่ว่าด้วยชีวิตและจิตใจ ซึ่งก็คือ "ธรรมะ"

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้...ไม่อยากให้คิดเลยว่า  ธรรมะเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ไม่งั้นเจ้าชายสิทธัตถะ คงไม่ยอมสละสมบัติอันมหาศาล  และความสบายทั้งหมดในชีวิตมาเพื่อสิ่งนี้ เพียงแต่เราไม่ได้ลองทำ(พิสูจน์) ด้วยตัวเอง จึงยังไม่เข้าใจ  เหมือนกับถ้าเราไปบอกมนุษย์ยุคหินว่า ... ในแม่น้ำมีเชื้อโรคอยู่มากมาย เต็มไปหมด แน่นอน ... เขาย่อมไม่เชื่อ  และอาจหาว่าเราพูดเหลวไหล จนกว่าเขาจะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู  พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วถึงเชื่อ และเข้าใจตามความเป็นจริง

        หรือบางคน ... อาจบอกว่า "ธรรม" ยังไม่ถึงเวลาสำหรับเขาหรือเป็นเรื่องของคนแก่ แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่า...  ทำไมผู้เฒ่าผู้แก่แทบทุกคนถึงหันมาสนใจธรรมะ  เพราะท่านเหล่านี้ ผ่านโลก ผ่านชีวิตมา 70-80 ปี  รู้เห็นสิ่งอะไรมากมาย แสวงหาสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตมาตลอด  เสียเวลาเกือบทั้งชีวิตเพราะเขารู้ว่า การศึกษาธรรมะอย่างจริงจังไปพร้อมกับวิชาทางโลก  จะทำให้เขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง

       ถึงเวลาแล้ว...ที่เราจะมาทำชีวิตของเราให้เต็มบริบูรณ์  มาศึกษาวิชาที่ว่าด้วยความสุขอันไพบูลย์จงอย่าให้ความเคยชินกลืนกินเวลาที่ต้องผลัดวัน...ต่อไปอีกเลย  เพราะบางทีเราอาจต้องจบชีวิตลง และไม่อาจตอบได้ว่า ชั่วชีวิตนี้...เราเกิดมาทำไม มาแสวงหาอะไรกันแน่  และความสุขอันแท้จริงของชีวิตนั้น คือ อะไร?"

คนโง่ ... ปฏิเสธธรรมะ เพราะเห็นว่า น่าเบื่อ งมงาย เชย ไร้เหตุผล ยังไม่ถึงเวลาของตน จึงดำเนินชีวิตไปตามค่านิยม จนหลงลืมเป้าหมายแห่งตน...

คนฉลาด ... สนใจธรรมะ จึงอ่าน ฟัง แต่ไม่ยอมปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงดูแปลกแยก ครึ ขรีม เคร่ง
CONSERVATIVE หนีผู้คน หลงภูมิใจในตน  แล้วกลายเป็นคนดีเฉพาะตน แต่คนอื่นไม่อยากเข้าใกล้จึงจำแนกเขาออกไป เขาจึงมีความสุขบ้าง  จากการแยกตัวออกมา

      คนมีปัญญา ... ศึกษาธรรมะอย่างถ่องแท้ ถึงแก่น  ไม่ใช่แค่อ่าน แต่ปฏิบัติอย่างจริงจังและนำมาประสานกับวิขาทางโลก และศึกษาควบคุมกันไป  จึงมีความชำนาญในการนำไปใช้  เพราะไม่เลือกที่จะให้ความสำคัญกับธรรมะ เป็นอันดับสุดท้าย

       เขาจึงเป็นคนดีก่อนใคร ที่มีแต่คนอยากเข้าใกล้ มีความหยุด สงบ  ท่ามกลางความทุกข์อันวุ่นวาย มีสุขอันล้นเหลือสำหรับตนเองและเผื่อแผ่ไปให้กับคนรอบข้าง และ เป็นผู้ที่ประสบความสุข  ความสำเร็จในชีวิตที่แท้จริงในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น